how-to-cannabis-marketing-agency

เอเจนซี่การตลาดกัญชา คืออะไร?

เอเจนซี่การตลาดกัญชา หรือ Cannabis Marketing Agency เป็นบริษัท หรือ ธุรกิจบริการ ที่ให้บริการด้านการตลาด และโฆษณาเฉพาะสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชา มีความเชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการตลาดกัญชา เข้าใจกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคกัญชา และมีกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจประเภทนี้

หน้าที่หลักของเอเจนซี่การตลาดกัญชา

• พัฒนาแผนการตลาด : เอเจนซี่จะวิเคราะห์ตลาด กำหนดเป้าหมายลูกค้า และพัฒนาแผนการตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจกัญชาของคุณ

• สร้างสรรค์เนื้อหาการตลาด : เอเจนซี่จะสร้างสรรค์เนื้อหาการตลาดที่ดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมาย เช่น เว็บไซต์ โฆษณา บทความ และโซเชียลมีเดีย

• จัดการแคมเปญโฆษณา : เอเจนซี่จะจัดการแคมเปญโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google Ads, Facebook Ads และ Instagram Ads

• วัดผล และวิเคราะห์ผลลัพธ์: เอเจนซี่จะติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาด และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์

how-to-cannabis-marketing-agency

ประโยชน์ของการใช้เอเจนซี่การตลาดกัญชา

• เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญ : เอเจนซี่การตลาดกัญชามีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมาย ข้อบังคับ และกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคกัญชา

• ประหยัดเวลา และเงิน: การใช้เอเจนซี่ช่วยให้คุณประหยัดเวลา และเงินในการจัดการแคมเปญการตลาดของคุณเอง

• เพิ่มประสิทธิภาพ : เอเจนซี่สามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

• เข้าถึงเครือข่าย : เอเจนซี่มักมีเครือข่ายติดต่อกับธุรกิจ และสื่อที่เกี่ยวข้องกับกัญชา

จำลองรูปแบบธุรกิจเอเจนซี่การตลาดกัญชา (Cannabis Marketing Agency)

CBD Cannabis Marketing Agency

• วิเคราะห์ตลาด และกำหนดเป้าหมาย
• วางแผนกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจกัญชา

ตัวอย่างจำลอง : วิเคราะห์ตลาดกัญชาในพื้นที่จังหวัด หรือ เขตท้องถิ่น เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการ และพฤติกรรมของลูกค้า ระบุกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคกัญชาที่มีความสนใจในผลิตภัณฑ์พรีเมียม

• การออกแบบ และพัฒนาเว็บไซต์
• การเขียนบทความ และการตลาดเนื้อหา
• การจัดการโซเชียลมีเดีย

ตัวอย่างจำลอง : พัฒนาเว็บไซต์ที่มีการออกแบบที่ทันสมัย และเป็นมิตรกับผู้ใช้ เพื่อแสดงข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และบริการของธุรกิจ เขียนบทความเกี่ยวกับประโยชน์ และวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา และเผยแพร่บนบล็อก และโซเชียลมีเดีย

• การจัดการแคมเปญ 𝕏 Ads, Google Ads, Facebook Ads, Instagram Ads
• การโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเฉพาะของกัญชา

ตัวอย่างจำลอง : สร้างแคมเปญโฆษณาบน Google Ads เพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ และการซื้อสินค้าออนไลน์ สร้างแคมเปญโฆษณาบน Social Media ที่เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่

• การติดตาม และวัดผลแคมเปญการตลาด
• การวิเคราะห์ข้อมูล และการปรับปรุงกลยุทธ์

ตัวอย่างจำลอง : ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อวัดผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณา เช่น จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์, อัตราการคลิก (CTR), และยอดขายที่เกิดจากโฆษณา วิเคราะห์ข้อมูล และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และผลลัพธ์

ผลลัพธ์ จากตัวอย่างจำลอง การเติบโตของธุรกิจ

การเข้าชมเว็บไซต์ : เพิ่มขึ้น 150% ภายใน 3 เดือนแรกของการทำแคมเปญ

ยอดขายออนไลน์ : เพิ่มขึ้น 200% จากการโฆษณา และการตลาดเนื้อหาที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

ความรู้ และการรับรู้ของแบรนด์ : GreenGrowth Dispensary กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในชุมชนผู้บริโภคกัญชาในจังหวัด หรือ เขตท้องถิ่น

Cannabis Legalization

ประเทศต่างๆ ที่กำลังก้าวไปสู่การทำให้กัญชาเสรี

การเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับกัญชาทั่วโลกกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายประเทศเริ่มเห็นถึงศักยภาพทางการแพทย์ เศรษฐกิจ และสังคมของกัญชา ทำให้มีการผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมายมากขึ้นเรื่อยๆ

ประเทศที่กำลังจะเปิดกัญชาเสรี
หลายประเทศทั่วโลกกำลังมุ่งหน้าไปสู่การเปิดเสรีกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสันทนาการ ด้านล่างนี้คือบางประเทศที่มีแนวโน้มเปิดเสรีกัญชาในอนาคตอันใกล้:

1. เยอรมนี กำลังพิจารณาเปิดเสรีกัญชาทางการแพทย์และสันทนาการ โดยรัฐบาลเยอรมนีได้แสดงความสนใจที่จะดำเนินการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา เพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากพืชชนิดนี้ในด้านต่างๆ

2. อิสราเอล มีการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์มาเป็นเวลานาน และกำลังมีการพิจารณาเปิดเสรีกัญชาเพื่อการสันทนาการ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการผ่านกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ประชาชนสามารถใช้กัญชาได้อย่างเสรีในอนาคต

3. เม็กซิโก ได้ผ่านกฎหมายอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์แล้ว และกำลังอยู่ในกระบวนการของการเปิดเสรีกัญชาเพื่อการสันทนาการ โดยมีการสนับสนุนจากรัฐบาลและประชาชนส่วนใหญ่

4. แอฟริกาใต้ มีการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสันทนาการ โดยรัฐบาลได้ประกาศแผนที่จะเปิดเสรีกัญชาเพื่อให้ประชาชนสามารถปลูกและใช้กัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย

5. หลายประเทศในยุโรป กำลังพิจารณาเปิดเสรีกัญชาเพื่อการแพทย์และสันทนาการ เช่น สเปน เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีการนำเสนอ และสนับสนุนกฎหมายที่เกี่ยวข้องในสภานิติบัญญัติ

การเปิดเสรีกัญชามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทั่วโลกเนื่องจากการยอมรับและการตระหนักถึงประโยชน์ทางการแพทย์ และเศรษฐกิจของพืชชนิดนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้อาจเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศต่างๆ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน

Cannabis Legalization
Cannabis Legalization

Countries Moving Towards Cannabis Legalization
Many countries around the world are moving towards cannabis legalization for both medical and recreational use. Below are some countries that are likely to legalize cannabis in the near future:

1. Germany
Germany is considering legalizing cannabis for medical and recreational purposes. The German government has shown interest in reforming cannabis laws to promote the use of this plant in various sectors.

2. Israel
Israel has long used cannabis for medical purposes and is now considering legalizing it for recreational use. The country is likely to pass legislation allowing citizens to use cannabis freely in the future.

3. Mexico
Mexico has already passed laws permitting the use of cannabis for medical purposes and is in the process of legalizing it for recreational use. There is substantial support from both the government and the public.

4. South Africa
South Africa allows the use of cannabis for medical and recreational purposes. The government has announced plans to legalize cannabis, enabling citizens to grow and use it legally.

5. Other European Countries
Several other European countries are considering cannabis legalization for medical and recreational use, including Spain, the Netherlands, and Switzerland. Legislative proposals and support for related laws are ongoing in their parliaments.

The trend towards cannabis legalization is increasing worldwide due to the growing recognition of its medical and economic benefits. This policy change presents significant opportunities for various countries to create economic value and improve the quality of life for their citizens.
Cannabis thailand returned drugs again

กัญชาจะถูกนำกลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง

ที่กัญชาจะถูกนำกลับไปเป็นยาเสพติด ให้โทษประเภทที่ 5 อีกครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก และมีเหตุผลหลายประการ

• กระแสโลก และการลงทุน : ทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะเปิดเสรีกัญชาเพื่อการแพทย์ และสันทนาการมากขึ้น มีการลงทุนจำนวนมากในอุตสาหกรรมกัญชา ซึ่งหากประเทศไทยกลับไปสู่การควบคุมที่เข้มงวด จะส่งผลกระทบต่อการลงทุน และภาพลักษณ์ของประเทศ

• ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ : กัญชามีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้สูง ไม่ว่าจะเป็นในด้านการแพทย์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรมแปรรูป การห้ามปลูก และจำหน่าย จะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจ

• ความต้องการของประชาชน : ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจ และสนับสนุนการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และสุขภาพ การเปลี่ยนแปลงนโยบายกลับไปในทิศทางเดิม อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจ และการต่อต้านจากประชาชน

• กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง : การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา จะต้องใช้เวลา และกระบวนการที่ซับซ้อน การกลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษ อาจต้องมีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งอาจไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่น่ากังวล และต้องติดตามต่อไป

• ผลกระทบด้านสุขภาพ : การใช้กัญชาอย่างไม่ถูกต้อง และในกลุ่มเด็ก และเยาวชนอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้

• การแข่งขันทางธุรกิจ : การเปิดเสรีอาจนำไปสู่การแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง และอาจมีการผูกขาดตลาด

สรุปแล้ว แม้ว่าการกลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษจะเป็นเรื่องยาก แต่รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการติดตามแ ละประเมินผลกระทบของการ #เปิดเสรีกัญชา อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาแนวทางในการควบคุม และกำกับดูแลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม

Cannabis thailand returned drugs again
It is highly unlikely that cannabis will be reclassified as a controlled substance.

There are several reasons for this : 

• Global Trends and Investments : The global trend is toward cannabis legalization, both for medical and recreational purposes. Significant investments have been made in the cannabis industry. If Thailand were to reimpose strict controls, it would adversely affect these investments and the country’s image.

• Economic Benefits: Cannabis has the potential to significantly boost the economy, from medical applications to agriculture and processing industries. Prohibiting cultivation and sale would hinder Thailand’s economic growth.

• Public Demand : A large segment of the population supports the use of cannabis for medical and health purposes. Reversing this policy could lead to public dissatisfaction and protests.

• Legal and Regulatory Framework : Changing cannabis-related laws is a complex and time-consuming process. Reclassifying cannabis as a controlled substance would require amendments to multiple laws, which may not be feasible in the short term.

However, there are still concerns that need to be addressed :

• Health Impacts : Improper cannabis use, especially among youth, can lead to health problems.

• Business Competition : Legalization could lead to intense competition and potential market monopolies.

In conclusion, while reclassification as a controlled substance is unlikely, the government and relevant agencies should continuously monitor and evaluate the impacts of cannabis legalization to find ways to regulate and oversee its use for the greatest benefit to society.

เผยผิวอ่อนเยาว์ ลดเลือนริ้วรอยด้วยพลังแห่งกัญชา

กัญชากับความงาม ผิวพรรณ และสุขภาพที่ดี

การศึกษาวิทยาศาสตร์และประโยชน์ต่อผิวหนัง: มีการศึกษาหลายชิ้นที่ตรวจสอบการใช้สาร CBD ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแบบทา WebMD ยอมรับถึงศักยภาพของ CBD ในการลดการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับโรคต่างๆ เช่น สิวหรือกลาก อย่างไรก็ตาม พวกเขายังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทดลองทางคลินิกที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อยืนยันประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้

การประยุกต์ใช้: Healthline ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เบื้องหลังศักยภาพของ CBD สำหรับสุขภาพผิว พวกเขาอธิบายถึงคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบของ CBD ซึ่งอาจช่วยให้ผิวต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระและลดการระคายเคือง นอกจากนี้ การวิจัยเบื้องต้นยังชี้ให้เห็นว่า CBD อาจมีประโยชน์ในการควบคุมการผลิตน้ำมัน ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือสิว

ระบบเอนโดแคนนาบินอยด์และผลของ CBD: บทความของศูนย์การแพทย์ความงามขั้นสูงของดร.ซาซากิ อธิบายถึงความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่าง CBD และระบบเอนโดแคนนาบินอยด์ของร่างกาย เครือข่ายตัวรับนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานต่างๆ เช่น การนอนหลับ ความเจ็บปวด และภูมิคุ้มกัน บทความอธิบายว่า CBD อาจโต้ตอบกับตัวรับเหล่านี้ได้อย่างไร ซึ่งอาจนำไปสู่ประโยชน์ต่อผิวหนัง อย่างไรก็ตาม พวกเขาเตือนว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อกำหนดขนาดยาที่เหมาะสมและทำความเข้าใจผลกระทบระยะยาวของการใช้ CBD อย่างต่อเนื่องในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

ความสำคัญของการปรึกษาแพทย์: แม้ว่าการวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวกับ CBD สำหรับความงามและสุขภาพจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่านี่เป็นสาขาใหม่ที่ค่อนข้างใหม่ ก่อนที่จะนำผลิตภัณฑ์หรือการรักษาใหม่ใดๆ เข้ามาในกิจวัตรประจำวันของคุณ การปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพนั้นสำคัญเสมอ พวกเขาสามารถช่วยคุณสำรวจว่า CBD อาจเป็นส่วนเสริมที่มีประโยชน์ต่อระบอบการปกครองของคุณหรือไม่และแก้ไขปัญหาการโต้ตอบที่อาจเกิดขึ้นกับยาที่คุณอาจทานอยู่ นอกจากนี้ แพทย์สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกผลิตภัณฑ์ CBD ที่มีชื่อเสียงและตรวจสอบให้แน่ใจว่าปราศจากสารปนเปื้อนหรือข้อความที่ทำให้เข้าใจผิด

เสริมข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับกัญชากับความงาม ผิวพรรณ และสุขภาพที่ดี

ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์: ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ความงามที่มีส่วนผสมของ CBD มีหลากหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น ครีมบำรุงผิว โลชั่นทาผิว เซรั่ม น้ำมันนวดหน้า สบู่ แชมพู ครีมนวดผม ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมี CBD ผสมผสานกับส่วนผสมอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น กรดไฮยาลูรอนิก วิตามินซี และว่านหางจระเข้

กลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะสม: ผลิตภัณฑ์ CBD สำหรับความงามและสุขภาพมักมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ใช้ที่มีปัญหาผิวเฉพาะ เช่น สิว ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์บางชนิดได้รับการออกแบบมาสำหรับการใช้งานทั่วไปเพื่อส่งเสริมความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว

ความปลอดภัยและผลข้างเคียง: โดยทั่วไปแล้ว CBD ถือว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ทาเฉพาะ อย่างไรก็ตาม อาจเกิดผลข้างเคียงบางประการ เช่น ระคายเคืองผิว เป็นที่น่าสังเกตว่า CBD อาจโต้ตอบกับยาบางชนิด ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ของคุณก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ CBD ใดๆ

กฎหมายและข้อบังคับ: กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับ CBD แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ของคุณก่อนซื้อหรือใช้ผลิตภัณฑ์ CBD

แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้: เมื่อเลือกผลิตภัณฑ์ CBD สิ่งสำคัญคือต้องเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มองหาบริษัทที่มีชื่อเสียงซึ่งใช้ CBD คุณภาพสูงและทดสอบผลิตภัณฑ์ของตนอย่างถูกต้อง

กัญชา สมุนไพรสารพัดประโยชน์ กินได้ ดื่มได้ ผ่อนคลายได้ รักษาโรคได้!

กัญชา สมุนไพรหลากสรรพคุณ ใช้ได้ทั้งกิน ดื่ม ผ่อนคลาย และรักษาโรค

กัญชา พืชสมุนไพรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน นับพันปี เดิมถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ต่อมาก็ถูกจัดเป็นสารเสพติด จนกระทั่งปัจจุบัน กัญชากลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง ด้วยงานวิจัยที่ค้นพบสรรพคุณทางการแพทย์ที่หลากหลาย

ตั้งแต่ต้นอารยธรรม มนุษย์ได้ใช้กัญชาเป็นยารักษาโรค ตำราโบราณหลายเล่มยกย่องสรรพคุณทางยาของพืชชนิดนี้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างยามากมาย และมีผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพหลายแสนชนิดในตลาดปัจจุจุบัน

สารแคนนาบินอยด์ในกัญชาเหล่านี้ ทำงานร่วมกับตัวรับแคนนาบินอยด์ในร่างกายเรา ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายหลายอย่าง ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายในหลายด้าน วิจัยทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันกำลังศึกษาสารแคนนาบินอยด์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น สาร CBD (Cannabidiol) มีแนวโน้มช่วยบรรเทาอาการของโรคลมชัก โรคพาร์กินสัน โรควิตกกังวล และอื่นๆ ในขณะที่ THC (Tetrahydrocannabinol) เป็นสารออกฤทธิ์ทางจิตประสาทที่ทำให้รู้สึกเคลิ้มสุข ซึ่งก็มีประโยชน์ทางการแพทย์เช่นกัน เช่น ช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และกระตุ้นความอยากอาหาร

แต่เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้สารแคนนาบินอยด์ที่เหมาะสม คุณต้องเลือกแหล่งที่มาของสารเหล่านี้อย่างระมัดระวัง เพราะสารแคนนาบินอยด์แต่ละชนิดนั้น จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป การศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเลือกซื้อจากร้านค้าที่ได้มาตรฐาน ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากสารแคนนาบินอยด์ โดยลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง

ประโยชน์ของกัญชา

กัญชามีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในด้านอาหาร เครื่องดื่ม สันทนาการ และการแพทย์

ด้านอาหารและเครื่องดื่ม

    • ใบกัญชาสดหรือผงกัญชา นำมาผสมในอาหาร เครื่องดื่ม สมูทตี้ เพิ่มรสชาติ กลิ่น และสารอาหาร ช่วยให้นอนหลับง่าย ผ่อนคลาย เจริญอาหาร ตัวอย่างเช่น นำใบกัญชาสดมาปั่นรวมกับกล้วย นม และน้ำผึ้ง กลายเป็นสมูทตี้กัญชา ช่วยให้อิ่มท้อง ผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย
    • น้ำมันกัญชา หยดใต้ลิ้น ผสมอาหาร หรือทาผิว ช่วยบรรเทาอาการปวด คลื่นไส้อาเจียน กระตุ้นความอยากอาหาร ลดอาการชัก ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนข้างเคียง การใช้กัญชาในรูปแบบน้ำมัน ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
    • เมล็ดกัญชา นำมารับประทานสด คั่ว บดเป็นผง หรือใส่ในอาหาร ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มพลังงาน ลดไขมัน ตัวอย่างเช่น นำเมล็ดกัญชาไปคั่ว บดเป็นผง โรยหน้าขนม ช่วยเพิ่มรสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการ

ด้านสันทนาการ

    • สูบ ผ่อนคลาย ลดความเครียด กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น สูบกัญชาหลังเลิกงาน ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความเครียดจากการทำงาน
    • ทา ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด ตัวอย่างเช่น ใช้ครีมนวดกล้ามเนื้อที่มีส่วนผสมของกัญชา ทาบริเวณที่ปวด ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อย

ด้านการแพทย์

    • รักษาโรค บรรเทาอาการของโรคลมชัก อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน มะเร็ง ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคลมชัก การใช้กัญชาในรูปแบบน้ำมันที่มี CBD สูง ช่วยลดจำนวนครั้งของอาการชักได้
    • ดูแลสุขภาพ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ ชะลอวัย ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุ การใช้กัญชาในรูปแบบแคปซูลที่มี CBD ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดอาการอักเสบ ชะลอวัย

รู้ก่อนใช้ ไม่ประมาท ยุคกัญชาเสรี

🔸หากพูดถึงกัญชาทางการแพทย์ พบว่า “ช่อดอกกัญชาตัวเมียที่ยังไม่ได้ถูกผสม” เป็นส่วนที่นิยมเก็บเกี่ยวไปใช้ในการรักษาโรค เนื่องจากช่อดอกมีสารสำคัญประเภท “แคนนาบินอยด์” (cannabinoids) ซึ่งได้แก่ delta-9-tetrahydrocannabinol (THC) และ Cannabidiol (CBD) รวมทั้งแคนนาบินอยด์ชนิดอื่นๆ อีกมากกว่า 400 ชนิด แต่ THC และ CBD เป็นแคนนาบินอยด์ที่ได้รับการศึกษาวิจัยและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย

🔸สรรพคุณของ THC และ CBD
THC มีสรรพคุณ เพิ่มความอยากอาหาร แก้อาเจียน ลดปวด ต้านอักเสบ และที่สำคัญสามารถออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท (ทำให้ผู้ที่ได้รับมีอาการเคลิ้มสุข อารมณ์ดี หัวเราะคิกคัก มีความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มความไวต่อการรับความรู้สึกทางแสง รส กลิ่น เสียง และสัมผัส)
CBD มีสรรพคุณ แก้อาเจียน ลดปวด ต้านอักเสบ แต่ไม่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทั้งนี้ หากใช้ร่วมกับ THC จะสามารถต้านฤทธิ์ต่อจิตประสารทจาก THC ได้

🔸โรคหรือภาวะที่อาจพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์
ปัจจุบันมีโรคหรือภาวะบางประการที่อาจพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์เป็นการรักษาเสริม หรือควบรวมกับยาแผนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาเป็นการรักษาเริ่มต้น ทั้งนี้ โรคหรือภาวะดังกล่าวข้างต้น ได้แก่
1. ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด ได้แก่ ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัดซึ่งมีอาการคลื่นไส้อาเจียนจากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด โดยในต่างประเทศแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชารูปแบบรับประทานที่มีเฉพาะ THC เท่านั้น
2. ภาวะปวดเส้นประสาท (Neuropathic Pain) ซึ่งมีคุณลักษณะสำคัญเช่น ปวดร่วมกับอาการชาคล้ายเข็มทิ่ม ปวดแสบปวดร้อน ปวดคล้ายกับถูกไฟดูด ปวดบริเวณผิวหนังที่เส้นประสาทมาเลี้ยง หรือปวดบริเวณที่สัมผัสกับเสื้อผ้าหรือลมพัดผ่าน โดยในต่างประเทศแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชารูปแบบสเปรย์ที่มีส่วนผสมของ THC และ CBD ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ใช้ฉีดพ่นเข้าไปทางเยื่อบุช่องปาก เพื่อให้สารสำคัญดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และก่อให้เกิดฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
3. ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งจากโรคปลอกประสาทเสื่อม (Multiple Sclerosis) ซึ่งอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก โดยในต่างประเทศแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชารูปแบบสเปรย์ เช่นเดียวกับที่อธิบายไว้ในข้อ 2
4. โรคลมชักที่รักษายากหรือดื้อต่อยารักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน เช่น ลมชักชนิด Dravet และ Lennox-Gastaut syndromes โดยในต่างประเทศแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบรับประทานที่มีเฉพาะ CBD เท่านั้น
🔸เป็นที่น่าสังเกตว่า โรคหรือภาวะที่อาจพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ (เป็นการรักษาเสริมหรือควบรวมกับยาแผนปัจจุบัน) นั้น ในต่างประเทศมีหลักฐานสนับสนุนว่า บางภาวะแนะนำให้ใช้เฉพาะ THC เท่านั้น แต่บางภาวะแนะนำให้ใช้ THC และ CBD ร่วมกัน ในขณะที่บางภาวะแนะนำให้ใช้เฉพาะ CBD เท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อให้การรักษาภาวะนั้นๆ เกิดประสิทธิผลสูงสุด และลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด
🔸อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประโยชน์ทางการแพทย์ข้างต้น ปัจจุบันยังมีโรค/ภาวะอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวาง เพื่อหาหลักฐานสนับสนุนว่า จะได้ประโยชน์จากการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ (ในการควบคุมอาการ) หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย (ที่มีอาการปวด รับประทานอาหารไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียนมาก) รวมทั้งผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรควิตกกังวล (ชนิด generalized anxiety disorders) โรคปลอกประสาทอักเสบ (demyelinating disease) อื่นๆ

🔸การใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย การใช้กัญชาทางการแพทย์ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกกัญชา การผลิต การแปรรูป การสกัด และการจ่ายยา ทั้งนี้ ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่มีใช้ในประเทศไทยมีดังนี้
1. ผลิตภัณฑ์ขององค์การเภสัชกรรม (GPO)
1.1 น้ำมันกัญชารูปแบบหยดใต้ลิ้นที่มีเฉพาะ THC เท่านั้น
1.2. มีน้ำมันกัญชารูปแบบหยดใต้ลิ้นที่มีทั้ง THC และ CBD ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1
1.3. น้ำมันกัญชารูปแบบหยดใต้ลิ้นที่มีเฉพาะ CBD เท่านั้น
2. ผลิตภัณฑ์ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
เป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชารูปแบบหยดใต้ลิ้นที่มีเฉพาะ THC เท่านั้น หรือ มีทั้ง THC และ CBD ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 หรือ มีเฉพาะ CBD เท่านั้น (คล้ายคลึงกับผลิตภัณฑ์ขององค์การเภสัชกรรม ดังกล่าวในข้อ 1)
3. ผลิตภัณฑ์กัญชาตำรับยาแผนไทยของโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร (ใช้ชื่อว่า อาจารโร เฮิร์บ)
เป็นผลิตภัณฑ์ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาเป็นส่วนประกอบ ปัจจุบันมีทั้งหมด 16 ตำรับ เช่น ตำรับศุขไสยาศน์ (ช่วยให้นอนหลับเจริญอาหาร ฟื้นฟูกำลังของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง) ตำรับอัคคินีวคณะ (แก้คลื่นเหียนอาเจียน ช่วยเจริญอาหาร บำรุงธาตุทั้ง 4 ชูกำลัง) ตำรับทัพยาธิคุณ (ลดอาการมือชาเท้าชาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และใช้รักษาอาการมือเท้าบวมในผู้ป่วยมะเร็งตับ) ตำรับทำลายพระสุเมรุ (บรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ แขนขาอ่อนแรง ชา ในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มประสิทธิผลและลดผลข้างเคียงของการรักษา การใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาต่างๆ ข้างต้น ควรอยู่ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์แผนที่เกี่ยวข้อง

🔸ระยะเวลาที่เริ่มออกฤทธิ์เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์กัญชารูปแบบต่างๆ
ระยะเวลาที่เริ่มออกฤทธิ์สัมพันธ์กับรูปแบบการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา ดังนี้
ก. รูปแบบสูบควันหรือสูดไอระเหย (เช่น การพันมวนสูบ การสูบโดยใช้ไปป์ การสูบโดยใช้บ้อง หรือ การสูบไอระเหยผ่านอุปกรณ์พิเศษ) การใช้กัญชารูปแบบนี้ สารสำคัญ เช่น THC จะเริ่มออกฤทธิ์ราว 5 นาทีหลังสูบควันหรือสูดไอระเหย ทั้งยังอาจทำให้เกิดอาการเมากัญชา ซึ่งสังเกตได้จากการที่ผู้ใช้มักอารมณ์ดี คอแห้ง ตาแดง และง่วงหลับ
ข. รูปแบบสเปรย์ผ่านเยื่อบุช่องปาก (เช่น ผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการปวดเส้นประสาท หรือบรรเทาอาการหดเกร็งกล้ามเนื้อจากโรคปลอกประสาทเสื่อม) การใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้ สารสำคัญจะเริ่มออกฤทธิ์ราว 30 นาทีหลังสเปรย์ผ่านเยื่อบุช่องปาก (หมายเหตุ: รูปแบบนี้น่าจะเทียบเคียงได้กับผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชารูปแบบหยดใต้ลิ้น)
ค. รูปแบบรับประทาน การใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้ สารสำคัญจะเริ่มออกฤทธิ์ราว 2-3 ชั่วโมงหลังรับประทาน

🔸อาการไม่พึงประสงค์ที่สัมพันธ์กับการใช้กัญชา
ก. อาการที่พบบ่อยมาก เช่น ง่วงนอน อ่อนเพลีย วิงเวียน ปากแห้ง วิตกกังวล คลื่นไส้ ผลต่อความคิดและสติปัญญา ไอ มีเสมหะ หลอดลมอักเสบ (พบจากการสูบกัญชาเท่านั้น)
ข. อาการที่พบบ่อย เช่น เคลิ้มสุข ตาพร่ามัว ปวดหัว
ค. อาการที่พบน้อย เช่น หน้ามืดเมื่อลุกขึ้นยืน อาการทางจิต หวาดระแวง ซึมเศร้า เดินเซ เสียการทรงตัว หัวใจเต้นเร็ว (พบน้อยหากค่อยๆ ปรับขนาดขึ้น) อาเจียน ท้องเสีย

🔸วิธีหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์จากกัญชา
โดยทั่วไป สามารถพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาภายใต้หลักการดังต่อไปนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์
1. Start low หมายถึง เริ่มใช้ (ผลิตภัณฑ์รูปแบบที่เหมาะสม) ในขนาดต่ำๆ
2. Go slow หมายถึง ค่อยๆ เพิ่มปริมาณ หากยังไม่ได้สรรพคุณที่ต้องการ
3. Stay low หมายถึง หากปรับขนาดยาขึ้นช้าๆ จนหาขนาดต่ำสุดที่ได้สรรพคุณแล้ว ให้ถือว่าขนาดนั้นคือขนาดที่เหมาะสมสำหรับการใช้รักษาภาวะ/โรคนั้นๆ ในระยะยาว
สิ่งที่ผู้บริโภคต้องรู้เกี่ยวกับอาหารที่ใส่กัญชาในยุคปลดล็อคกัญชา
โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้ส่วน “ใบกัญชา” มาประกอบอาหาร โดยพบว่า ใบสดมีสารเมา (THC) ค่อนข้างน้อย แต่จะมีสาร THCA (tetrahydrocannabinoic acid) ซึ่งไม่ทำให้เมา อย่างไรก็ตาม หาก THCA ผ่านความร้อนจากกระบวนการปรุงอาหาร จะมีโอกาสเปลี่ยนเป็น THC ซึ่งหากได้รับ THC ในปริมาณมากอาจทำให้เมาได้ ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่เพิ่มปริมาณสารเมาในเมนูอาหาร มีดังนี้
ก. การปรุงที่ผ่านความร้อน ดังอธิบายแล้วข้างต้น
ข. ระยะเวลาในการปรุงด้วยความร้อน หากใช้ระยะเวลานาน โอกาสเกิดสารเมาก็จะมากขึ้น
ค. ส่วนประกอบของไขมันในอาหารประเภทนั้นๆ เป็นที่ทราบกันดีว่า THC ไม่ละลายน้ำ แต่สามารถละลายในไขมันได้ดี ดังนั้นหากปรุงเมนูกัญชาด้วยความร้อน ปรุงนาน และมีไขมันเป็นส่วนประกอบ (เช่น ใส่น้ำมัน หรือใส่เนย) จะทำให้เมนูนั้นๆ มี THC ในปริมาณที่สูงขึ้น
ง. ส่วนและปริมาณของกัญชาที่นำมาปรุงอาหาร หากนำใบสดในปริมาณมาก หรือใช้ช่อดอก (ซึ่งมี THC มากอยู่แล้ว) มาปรุงด้วยความร้อนสูง/ใช้เวลาปรุงนาน จะทำให้มี THC ในปริมาณที่สูงขึ้น ทำให้มีอาการเมา หัวใจเต้นเร็ว เต้นแรง เป็นต้น

🔸คำเตือนในการใช้กัญชา
การใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาอาจทำให้ง่วงนอน ดังนั้นจึงไม่ควรขับยวดยานพาหนะ และไม่ทำงานกับเครื่องจักรกล นอกจากนี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยที่มีโรคหรือภาวะ ดังนี้
โรคจิต: การใช้กัญชาในผู้ที่เป็นโรคจิตมาก่อน หรือมีอาการของโรคอารมณ์แปรปรวน (concurrent active mood disorder) หรือ โรควิตกกังวล (anxiety disorder) มีโอกาสทำให้อาการดังกล่าวกำเริบ
โรคหัวใจ: มีรายงานว่าการใช้กัญชาสัมพันธ์กับการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย (รวมถึงการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต) ได้
โรคตับ: โดยปกติตับจะทำหน้าที่เปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของแคนนาบินอยด์ให้พร้อมสำหรับการขจัดออกจากร่างกาย ดังนั้นในผู้ป่วยโรคตับ สารแคนนาบินอยด์อาจจะค้างอยู่ในร่างกาย ทำให้ออกฤทธิ์ได้มาก/นานกว่าปกติ
ผู้ใช้ที่อายุน้อย: มีรายงานว่าการใช้กัญชาครั้งแรกตั้งแต่ตอนอายุยังน้อย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางจิตเวช (เช่น โรคจิตเภท และไบโพลาร์) โดยมีโอกาสเกิดได้เร็วกว่าปกติ
ผู้สูงอายุ: เป็นกลุ่มที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้มากกว่าคนหนุ่มสาว
สตรีมีครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร รวมถึงสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่ได้คุมกำเนิด (หรือสตรีที่วางแผนจะตั้งครรภ์): มีรายงานว่าการใช้กัญชาเพิ่มโอกาสที่ทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย รวมถึงพบ cannabinoids ในน้ำนมแม่ได้

🔸บทสรุป
ข้อบ่งชี้ของการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ ได้แก่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด ภาวะปวดเส้นประสาท ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งจากโรคปลอกประสาทเสื่อม โรคลมชักที่รักษายากหรือดื้อต่อยารักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน ทั้งนี้ ตามแนวทางเวชปฏิบัติจะพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์เป็นการรักษาเสริมหรือควบรวมกับยาแผนปัจจุบันเท่านั้น (ไม่ใช้เป็นการรักษาเดี่ยวหรือการรักษาเริ่มต้น) นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมต่อข้อบ่งชี้นั้นๆ โดยเลือกจาก (1) ผลิตภัณฑ์ที่มีเฉพาะ THC หรือ (2) มี THC ร่วมกับ CBD หรือ (3) มีเฉพาะ CBD ทั้งนี้ เพื่อให้การรักษาภาวะนั้นๆ เกิดประสิทธิผลสูงสุด และลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยมากจากการใช้กัญชา ได้แก่ ง่วงนอน อ่อนเพลีย วิงเวียน ปากแห้ง วิตกกังวล คลื่นไส้ หากต้องการหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์จากกัญชา ให้พิจารณาใช้ภายใต้หลักการ: Start low – Go slow – Stay low อนึ่ง ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาทุกรูปแบบไม่ควรขับยวดยานพาหนะหรือทำงานกับเครื่องจักรกลเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคจิต โรคหัวใจ โรคตับ ผู้ที่อายุน้อย ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และสตรีที่ให้นมบุตร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: รศ.ดร.นพ.ศุภนิมิต ทีฆชุณหเถียร หัวหน้าภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เรียบเรียง:นางสาวนันทพร ระบิน
ภาพ / ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร
งานประชาสัมพันธ์
คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Credit : คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (official)

ปลูกกัญชา เลือกโรงเรือนแบบไหน ได้คุณภาพดีที่สุด

ปลูกกัญชา เลือกโรงเรือนแบบไหน ได้คุณภาพดีที่สุด

ใครที่กำลังสนใจอยากปลูกกัญชาเองที่บ้าน แต่ยังไม่รู้ว่าต้องขออนุญาต หรือต้องใช้โรงเรือน

ในการปลูกรูปแบบไหนถึงจะดี วันนี้แสงไทย มีข้อมูลมาฝากกันครับ

ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กระทรวง สาธารณสุข ได้มีข้อบังคับนำกัญชา กัญชง ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ทำให้ทุก บ้านสามารถปลูกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต (เพื่อประโยชน์ในการรักษาและดูแลสุขภาพ) แต่จะต้องขึ้นทะเบียนจดแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน ‘ปลูกกัญ’ ของสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.)

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกกัญชา เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ ยังจำเป็นที่จะต้องขอ อนุญาตจดแจ้ง และลงทะเบียนให้ถูกต้อง

ตามกฎหมาย

การเตรียมสถานที่ในการปลูกกัญชา

1. ที่ดินต้องถูกต้องตามกฎหมาย มีเอกสาร สิทธิในที่ดิน และได้รับความยินยอมจาก ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น

2. มีเอกสารหนังสือรับรองการปลูกตามกฎหมายจากกระทรวงสาธารณสุข

3. การกำหนดสถานที่ในการปลูกกัญชา ไม่มี รูปแบบที่ตายตัว สามารถปลูกได้ทั้ง โรงเรือน Green House, ระบบปิด และ การปลูกตาม ธรรมชาติ แต่จะต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน และความปลอดภัย

ปลูกแบบระบบเปิด

การปลูกกัญชาแบบระบบเปิด หรือ กลางแจ้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ และมี แรงงานในการดูแลจำนวนมาก โดยการปลูก กัญชาแบบระบบเปิดจะใช้แสงแดด และ สภาพอากาศตามธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ผล ผลิตเติบโต อย่างไรก็ตาม การปลูกใน ลักษณะกลางแจ้ง ถึงแม้จะให้ผลผลิตใน ปริมาณที่สูง แต่จะสามารถปลูกได้เพียงแค่ 1รอบ/ปี เท่านั้น เนื่องจากจำเป็นที่จะต้อง หลีกเลี่ยงฤดูกาลที่ไม่เหมาะสม เช่น หน้าร้อน หน้าฝน อีกทั้งยังมีข้อเสียจากแมลง และศัตรู พืชที่ไม่สามารถควบคุมได้อีกด้วย

โรงเรือน Greenhouse

การปลูกกัญชาในรูปแบบ Greenhouse เป็น โรงเรือนที่มีการออกแบบให้สามารถรับแสง จากธรรมชาติได้ จากการสร้างอาคาร หรือห้อง ที่ใช้วัสดุโปร่งแสงในการติดตั้ง ทำให้มีต้นทุน สูงกว่าแบบกลางแจ้งแต่ผลผลิตที่ได้จะมีปริมาณ และคุณภาพที่ดีกว่า เนื่องจากผู้ปลูกสามารถ ออกแบบระบบการทำงานภายในโรงเรือน เพื่อควบคุมปริมาณสภาพอากาศ หรือสารอาหาร ที่จำเป็นได้ นอกจากนี้ยังสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ลดปัญหาสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ และช่วยควบคุม ศัตรูพืชต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายได้

สำหรับใครที่สนใจโรงเรือนรูปแบบ Greenhouse แสงไทยก็มีของดีมาแนะนำ นั่นคือ แผ่นโปร่งแสง

โพลีคาร์บอเนตจากแสงไทย ที่มีคุณสมบัติ ช่วยให้แสงส่องผ่านได้ 100% เหมาะสำหรับ โรงเรือนเพาะปลูก หรือพื้นที่ที่ต้องการแสงมาก แถมยังมีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าการใช้มุ้งขาว คลุมโรงเรือนแบบเดิม ๆ อีกด้วยนะครับ

โรงเรือนระบบปิด

เป็นโรงเรือนที่ออกแบบมาด้วยลักษณะพิเศษ ภายในห้องทึบ เพื่อทำการควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้เองตามธรรมชาติ ด้วย การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วม ที่จะ ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงกว่าทั้ง 2 รูปแบบที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การควบคุม ความเข้มของแสงด้วยหลอดไฟ LED ที่ถูก ออกแบบมาพิเศษ เพื่อหาคลื่นแสงที่เหมาะสม กับการเจริญเติบโตของพืช, การจัดวางระบบรางน้ำ ,การติดตั้งเครื่องวัดความชื้น และควบคุมอุณหภูมิ หรือแม้แต่ การใช้เครื่องควบคุมปริมาณก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ภายในโรงเรือน เป็นต้น

สำหรับใครที่กำลังมองหาวัสดุที่ช่วยให้โรงเรือน ระบบปิดแข็งแรง และควบคุมคุณภาพได้ดี ขอแนะนำ แผ่นเมทัลชีท PU Foam ที่ได้มีการบุฉนวนกันความร้อน ช่วยลดความ ร้อนสะสมบริเวณหลังคาได้ถึง 15°C – 35°C อีกทั้งยังสามารถนำมาออกแบบเพื่อใช้ในการกั้น เป็นผนัง หรือใช้สำหรับตกแต่งโรงเรือนให้มีความ สวยงามมากยิ่งขึ้น

Credit : sangthaigroup

วิธีปลูกกัญชา 6 เรื่องน่ารู้สำหรับมือใหม่หัดปลูก

กัญชา (Cannabis) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis Sativa L. อยู่ในวงศ์ Cannabaceae เป็นพรรณไม้จำพวกหญ้าต้นเล็ก ส่วนคำว่า มาลีฮวนน่า (Marijuana) เป็นคำแสลงของดอกกัญชาที่นำมาสูบนั่นเอง ต้นกัญชาเมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 300 เซนติเมตร ลักษณะลำต้นมีสีเขียว ตั้งตรง ช่วงเป็นต้นกล้าจะอวบน้ำ เติบโตช้าเฉพาะช่วง 6 สัปดาห์แรก เมื่อมีอายุได้ประมาณ 90-120 วัน จะเริ่มออกดอกเป็นช่อ อัดแน่นอยู่ตามซอกใบและปลายยอด ใช้สำหรับแยกเพศได้ มีใบเดี่ยวแยกเป็นแฉก 5-7 แฉก แต่จำนวนแฉกจะลดลงในช่วงสร้างดอก ขอบใบเว้าลึกถึงเส้นกลางใบและหยักเป็นฟันเลื่อย ปลายใบแหลม ผิวใบด้านบนมีสีเขียวเข้มกว่าท้องใบ และมีเมล็ดรูปไข่ผิวเรียบเป็นมัน ลายสีน้ำตาล จะเปลี่ยนเป็นสีเทาเมื่อผลแก่สารสำคัญในกัญชามี 2 ชนิด คือ สารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol-CBD) และสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol-THC) ที่อยู่ในช่อดอก ซึ่งพบว่ามีประโยชน์ในทางการแพทย์ เช่น ใช้ในการรักษาโรคและอาการต่าง ๆ แต่เนื่องจากมีผลต่อจิตและระบบประสาท ดังนั้นจึงควรมีการใช้อย่างระมัดระวัง

“กัญชา และกัญชง แตกต่างกันยังไง

หลายคนอาจจะยังเข้าใจผิดคิดว่า กัญชา และกัญชง คือต้นไม้ชนิดเดียวกัน แต่ กัญชง หรือเฮมพ์ (Hemp) นั้นเป็นพืชวงศ์เดียวกับกัญชา แต่กัญชงเป็นสายพันธุ์ย่อย โดยต้นกัญชงจะจะมีความสูงมากกว่า มีข้อปล้องยาวกกว่าเมื่อเทียบกับต้นกัญชา นอกจากนี้ในส่วนของใบกัญชงยังมีสีซีดกว่า หน้าใบเรียวและแคบกว่า ขนาดเมล็ดใหญ่กว่า และให้ปริมาณสารสำคัญไม่เท่ากัน

วิธีแยกเพศกัญชา

ต้นกัญชามี 2 ชนิดหลัก ๆ แยกได้ตามเพศขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยสังเกตได้จากลักษณะของลำต้น ดอก ใบ และมีการนำประโยชน์แตกต่างกัน ดังนี้

  • กัญชาเพศผู้ : ลำต้นมีข้อถี่กว่า ใบเล็กและยาวกว่า ที่โคนกิ่งมีตาหรือดอก จะบานเมื่อต้นโตเต็มที่ ออกดอกน้อย ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ แยกกันอิสระ มีสีเขียวอมเหลือง ยอดของช่อดอกตัวผู้จะเรียกว่า ดอก ระยะเวลาการบานประมาณ 2 เดือน ส่วนใหญ่จะปลูกเพื่อนำมาใช้ในการผสมพันธุ์ 
  • กัญชาเพศเมีย : ลำต้นมีข้อห่างกว่า ใบใหญ่และสั้นกว่า ตาหรือดอกบริเวณโคนกิ่งจะหุบเมื่อต้นโตเต็มที่ ออกดอกเป็นช่อ กลีบเลี้ยงสีเขียวเข้ม ภายในมียอดเกสร (Stigma) 2 อัน สีน้ำตาลแดง อายุของดอกสั้น ใช้เวลาติดผลประมาณ 3-4 สัปดาห์ นิยมปลูกมากกว่าเพศผู้ เนื่องจากสามารถผลิตสารสำคัญได้มากกว่า 

นอกจากนี้ยังมี กัญชากะเทย หรือกัญชาที่มี 2 เพศ คือมีทั้งเกสรตัวผู้และตัวเมีย อยู่ในต้นเดียวกันได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น เกิดจากความเครียดและปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสงแดดที่มากไป น้ำที่มากเกินไปหรือไม่เพียงพอ แมลงศัตรูพืชแมลง โรคของพืช หรืออาจจะถูกพัฒนาภายหลังก็ได้ แต่ไม่นิยมปลูกเพราะไม่เป็นที่ต้องการของตลาด เนื่องจากมีสารแคนนาบินอยด์น้อยกว่ากัญชาตัวเมียนั่นเอง

สายพันธุ์กัญชาที่นิยมปลูก

ต้นกัญชาที่นิยมปลูกกันทั้งในไทยและต่างประเทศ จะแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์ใหญ่ ๆ ดังนี้

1. สายพันธุ์ซาติวา (Cannabis Sativa)

มีแหล่งกำเนิดจากหลายประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก โคลัมเบีย ตอนกลางของทวีปแอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชอบอากาศร้อน ลำต้นหนา ความสูงประมาณ 6 เมตร ใบยาวเรียว สีเขียวอ่อน ใช้เวลาในการเติบโตประมาณ 9-16 สัปดาห์ถึงจะเก็บเกี่ยวได้ และให้สาร THC ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทสูงกว่าอินดิกา

2. สายพันธุ์อินดิกา (Cannabis Indica)

เป็นสายพันธุ์กัญชาที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย และตะวันออกกลาง ชอบที่ร่มและอากาศเย็น มีลำต้นเป็นพุ่มเตี้ย ความสูงประมาณ 1-2 เมตร กิ่งก้านดกหนา หน้าใบกว้างและสั้นกว่าสายยพันธุ์ซาติวา มีสาร CBD ที่ช่วยออกฤทธิ์ระงับประสาท ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดอาการปวด จึงนิยมนำไปใช้ทางการแพทย์ โดยสายพันธุ์นี้จะเติบโตพร้อมเก็บเกี่ยวได้เร็ววกว่าซาติวา ใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์

3. สายพันธุ์รูเดอราลิส (Cannabis Ruderalis)

มีต้นกำเนิดในทวีปยุโรป มีลักษณะลำต้นเตี้ยที่สุดใน 3 สายพันธุ์ แต่มีระยะการเติบโตเร็วและสามารถอยู่ได้ทั้งในอากาศร้อนและเย็น  มีระยะเวลาเติบโตพร้อมเก็บเกี่ยวประมาณ 30 วัน จุดเด่นอยู่ที่ใบกว้างเรียวยาวมี 3 แฉก โดยทั่วไปแล้วสายพันธุ์นี้มีสาร THC น้อย (เมื่อเทียบกับสองสายพันธุ์แรก) และมีปริมาณ CBD สูง จึงนิยมนำไปผสมข้ามสายพันธุ์ (Hybrid) กับซาติวาและอินดิกา เพื่อให้ได้คุณสมบัติทางยา

การปลูกกัญชา

  • การเตรียมดิน : ควรไถพรวนดินก่อนปลูกอย่างน้อย 2 ครั้งเพื่อให้ดินเกิดความอ่อนตัว ถ่ายเทอากาศได้ดี และเป็นการทำลายวัชพืชไปในตัวด้วย หลังจากที่ไถพรวนดินเรียบร้อย ให้ทำเป็นร่องระบายน้ำสูง 50 ซม. แต่ละแถวมีระยะห่างกัน 100 ซม. จากนั้นให้ขุดหลุมกว้างประมาณ 40-50 ซม. ลึก 40-50 ซม. และให้มีระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 30-60 ซม. นอกจากนี้ยังสามารถรองก้นหลุมด้วยดินคลุกกับปุ๋ยคอกได้ โดยต้นกัญชาจะชอบดินร่วนปนทราย หรือดินที่มีความร่วนซุย ระบายน้ำได้ มีอินทรียวัตถุสูง และมีค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ระหว่าง 5.8-6  
  • การปลูก : ต้นกัญชา นิยมปลูกด้วย 2 วิธีคือ การหว่าน มีวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตเส้นใย และการหยอดหลุมด้วยเมล็ดหรือต้นกล้า เพื่อผลิตเมล็ดและช่อดอก ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมมากกว่า ทำได้โดยการหยอดเมล็ดพันธุ์ลงในหลุมปลูกที่เตรียมไว้หลุมละ 3-5 เมล็ด ให้มีความลึกประมาณ 1-2 ซม. หรือเพาะต้นกล้าให้มีอายุประมาณ 3-4 สัปดาห์ กระตุ้นให้กล้าแข็งแรง และงดรดน้ำ 1 วันก่อนย้ายปลูก จากนั้นให้ย้ายต้นกล้ามาลงหลุมปลูก หลุมละ 5-7 ต้น บริเวณที่ปลูกกัญชาควรมีอากาศเย็น ประมาณ 19-28 องศาเซลเซียส อีกทั้งยังไม่ค่อยชอบน้ำมากนัก หรือเฉลี่ยประมาณ 500-600 มิลลิเมตรต่อวงจรการปลูกแต่ละครั้ง ทำให้นิยมปลูกกัญชากันในเดือนกันยายนถึงกุมภาพันธ์ เพื่อให้ได้ช่อดอกที่สมบูรณ์ พร้อมเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 
  • การรดน้ำและใส่ปุ๋ย : สามารถรดน้ำ ใส่ปุ๋ยโดยเฉพาะปุ๋ยคอก เช่น มูลไก่ มูลวัว รอบ ๆ ต้นได้ทุกวัน และควรหมั่นกำจัดวัชพืชและฉีดยาป้องกันและกำจัดศัตรูพืชอย่างสม่ำเสมอด้วย นอกจากเมื่อต้นโตใกล้ออกดอก ควรหมั่นพรวนดิน ตัดรากรอบ ๆ ต้น เพื่อให้ต้นเป็นพุ่มเตี้ย ไม่โตสูงจนเกินไป 
  • การคัดต้น : เมื่อปลูกกัญชาได้ประมาณ 45 วัน หรือมีความสูงประมาณ 50-60 ซม. ก็สามารถแยกได้แล้วว่าต้นไหนเป็นกัญชาตัวผู้หรือกัญชาตัวเมีย ให้ถอนกัญชาตัวผู้ทิ้ง เก็บไว้เฉพาะกัญชาตัวเมีย 
  • การเก็บเกี่ยว : ต้นกัญชาสามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่อายุได้ 4 เดือนขึ้นไป หรือประมาณ 5-6 เดือน โดยทำได้ 2 วิธีคือ ถอนทั้งต้น หรือตัดครึ่งต้น และควรเก็บเกี่ยวในวันที่มีแสงแดดจัด เพราะจะทำให้มีสาร THC สูงมาก เมื่อเก็บเกี่ยวต้นกัญชาแล้ว ให้นำไปตากแดดจนแห้ง จากนั้นนำไปเคาะเมล็ดเพื่อใช้ทำพันธุ์ต่อไป 

Credit : www.kapook.com

ร้านกัญชาและอุปกรณ์กัญชาคุณภาพ : https://www.siamweeds.com/

‘กัญชา’ จากพืชโบราณ สู่พืชเศรษฐกิจ และอนาคตหลังปลดล็อกเสรี

แต่เดิม ‘กัญชา’ ถือเป็นพืชที่ประเทศไทยขึ้นทะเบียนเป็นสารเสพติดประเภท 5 ภายใต้พระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2522 ก่อนที่จะผลักดันปลดล็อกกัญชาเสรีให้ถูกกฎหมายเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์เป็นสำคัญ รวมทั้งอนุญาตให้ปลูกกัญชาในครัวเรือนและเชิงพาณิชย์ได้ นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป แม้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ตื่นตัวเรื่องกัญชาถูกกฎหมาย แต่ประชาชนอีกจำนวนมากก็ยังคงเกิดความสับสนเกี่ยวกับขอบเขตของการใช้กัญชา ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงปัญหาและผลกระทบต่อสุขภาพที่ตามมา… ‘ปลดล็อกกัญชา’ ในครั้งนี้ ไทยพร้อมมากแค่ไหน

ทำความรู้จัก ‘กัญชา’ พืชยุคโบราณ ที่ให้มากกว่า ‘ความเคลิ้มสุข’

     สันนิษฐานว่า ‘กัญชา’ ในภาษาไทย เป็นคำที่ได้รับอิทธิพลมาจาก “Ganja” ในภาษาฮินดี โดยพืชชนิดนี้ขึ้นในเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะพื้นที่แถบเปอร์เซีย อินเดีย และจีน นิยมเพาะปลูกในท้องถิ่นเพื่อใช้นำมาประกอบเป็นยา อาหาร เครื่องเทศ แหล่งของเส้นใย และพืชเสพติดมาช้านาน เพราะมีฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้ผู้เสพรู้สึกเคลิบเคลิ้มและผ่อนคลาย ก่อนที่ต่อมาจะกระจายพันธุ์มายังหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

     เมื่อสืบค้นราวเรื่องราวของกัญชา พบว่าปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียมาตั้งแต่สมัยโบราณ อาจมีความเป็นมายาวนานนับพันปี เกาหลีเคยค้นพบผ้าป่านโบราณที่ทำมาจากเส้นใยของกัญชา ซึ่งมีอายุราว 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช จีนค้นพบเครื่องปั้นดินเผาที่มีเส้นใยของกัญชา แม้แต่ในตำราโอสถพระนารายณ์สมัยกรุงศรีอยุธยาของไทย ก็มีการใช้กัญชาเป็นส่วนหนึ่งของยาสมุนไพรแก้อาการนอนไม่หลับ

 ไม่เพียงเท่านั้น ในบางวัฒนธรรมยังยกให้กัญชาเป็นหนึ่งในพืชศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเชื่อมโยงกับตำนานของเทพเจ้า โดยเฉพาะชาวฮินดูในประเทศอินเดียที่มีความเชื่อว่าการสูบกัญชาเปรียบเสมือนการบูชาเทพศิวะ ทำให้เห็นได้ว่ากัญชาไม่ได้เป็นพืชโบราณที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ด้านอาหาร ยา และการผ่อนคลาย แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในมิติทางความเชื่อและศาสนาด้วย แม้แต่ในโลกตะวันตกก็ยังมีภาพวาดใบกัญชาปรากฏอยู่บนภาพวาดหรือวัตถุโบราณที่มีอายุนับพันปี สะท้อนให้เห็นว่ากัญชาคือหนึ่งในพืชโบราณที่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์มาช้านาน

     ก่อนที่ในเวลาต่อมามุมมองของยุคกลางและโลกสมัยใหม่ได้จัด ‘กัญชา’ ให้เป็นพืชเสพติดผิดกฎหมายที่ออกฤทธิ์ต่อประสาท เนื่องจากในช่อดอกกัญชามีสารที่เรียกว่า ‘Tetrahydrocannabinol’ หรือ THC ซึ่งทำให้คนเสพคลายความวิตกกังวลลง แต่หากเสพในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลเกิดอาการเคลิบเคลิ้มไปจนถึงมึนเมา จึงถูกจัดเป็นพืชสารเสพติดที่ต้องควบคุมนั่นเอง

ปลดล็อกกัญชาเสรี ‘ปลูก-ซื้อ-ขาย-เสพ’ คนไทยทำอะไรได้บ้าง?

     จากการผลักดันของอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีสาธารณสุข ส่งผลให้ ‘กัญชา-กัญชง’ ถูกประกาศให้เป็นพืชที่เว้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565 โดยการปลดล็อกกัญชาเสรีให้ถูกกฎหมายในครั้งนี้ มีรายละเอียดสิ่งที่ทำได้-ห้ามทำ ดังต่อไปนี้

  • การปลูกกัญชาในครัวเรือนสามารถทำได้ ครอบครองกัญชาได้ไม่จำกัดจำนวน แนะนำว่าควรจดแจ้งผ่านแอปพลิเคชันปลูกกัญ หรือเว็บไซต์ https://plookganja.fda.moph.go.th หรือสอบถามสายด่วนกัญชา-กัญชง โทร. 1556 กด 3
  • การปลูกเพื่อขายเชิงพาณิชย์ หรือนำไปแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ ต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
  • หากการครอบครองกัญชามีสารสกัดที่มีปริมาณสาร THC เกินกว่า 0.2% ซึ่งถือเป็นปริมาณที่เกินกว่าที่กฎหมายปลดล็อก โดยไม่มีใบอนุญาต หรือไม่มีใบสั่งแพทย์ จะถือว่ามีความผิดต้องรับโทษตามกฎหมาย
  • การนำเข้าเมล็ดพันธุ์และส่วนของพืชกัญชา จะต้องยื่นขออนุญาตกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • การนำเข้าผลิตภัณฑ์กัญชา จะต้องยื่นขออนุญาตกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
  • ประชาชนสามารถประกอบอาหารจากกัญชาในครัวเรือนได้
  • ห้ามสูบกัญชาในที่สาธารณะ แต่สามารถสูบกัญชาภายในบ้านได้
  • ห้ามจำหน่ายกัญชาให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี จะถือว่าผิดกฎหมาย
  • หลังสูบ เสพ หรือบริโภคกัญชา ไม่ควรขับรถยนต์ ใช้เครื่องจักรกล หรือทำงานที่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากกัญชามีฤทธิ์ให้การตัดสินใจช้าลง
  • สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ไม่ควรสูบ เสพ หรือบริโภคกัญชาโดยเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้น้ำนมมีสาร THC ที่ส่งผลต่อพัฒนาการสมองของเด็ก

     ข้อควรระวังในการใช้กัญชา : สารสกัด THC ในกัญชา แม้ว่าจะฤทธิ์ทำให้ผู้เสพรู้สึกเมาเคลิ้มสุข แต่หากได้รับในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป ก็อาจนำไปสู่การเสพติดได้ ส่งผลข้างเคียงให้รู้สึกมึนเมา ใจสั่น ชีพจรเร็ว ใจสั่น ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นลมวูบหมดสติ ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ จึงควรศึกษารายละเอียดก่อนการใช้ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอยู่เสมอ

ประโยชน์ของ ‘กัญชา-กัญชง’ ในทางการแพทย์

     ตระกูลพืชกัญชา-กัญชง จะมีสาร 2 ตัวที่มีปริมาณเข้มข้น ได้แก่  Tetrahydrocannabinol (THC) ซึ่งพบมากในกัญชา และ Cannabidiol (CBD) พบมากในกัญชง ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ช่วยผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล โดยมีผลกระตุ้นประสาทในด้านความรู้สึก จึงทำให้ได้รับความสนใจในวงการแพทย์ มีการศึกษาข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์จากกัญชา-กัญชง มาอย่างยาวนาน

สำหรับในประเทศไทยมีการจัดตั้ง ‘คลินิกกัญชาทางการแพทย์’ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 รวมทั้งมีการศึกษาวิจัยประโยชน์ของพืชกัญชาเพื่อนำมาใช้ส่งเสริมสุขภาพแก่ผู้ป่วยบางราย ปัจจุบันมีการใช้กัญชาเป็น ‘ยาเสริม’ เพื่อช่วยรักษาอาการต่างๆ ที่ยาแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้ หรือใช้แล้วยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ยกตัวอย่างในอาการต่อไปนี้

  • ใช้ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท
  • ใช้บรรเทาอาการคลื่นไส้ของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาคีโมบำบัด
  • ใช้เพิ่มความอยากอาการในผู้ป่วยโรคเอดส์ ที่มีน้ำหนักน้อย
  • ใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดในผู้ป่วยที่อยู่ในระยะท้าย หรือระยะประคับประคอง
  • ใช้ลดอาการโรคลมชักดื้อยา
  • ใช้ลดอาการปวดประสาทประเภทต่างๆ

     หมายเหตุ : การใช้กัญชาทางการแพทย์ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีความไวต่อการได้รับสารสกัด THC และ CBD ที่แตกต่างกัน หรือแม้แต่การบริโภคกัญชาเป็นเครื่องดื่มและอาหาร ผู้มีโรคประจำตัวที่รับประทานยาเป็นประจำ ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับสารสกัดจากกัญชา-กัญชงได้

‘ธุรกิจกัญชา’ ความหวังสร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้เติบโต

     จากรายงานของเว็บไซต์ด้านการตลาด Allied Market Research ระบุว่า ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่เกี่ยวข้องกับกัญชา ในปี 2561 มีมูลค่าทั่วโลกอยู่ที่ 427 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าอาจมีมูลค่าสูงถึง 2,632 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2569 โดยประเภทอาหารกัญชาที่เติบโตสูงสุด ได้แก่ เบเกอรี ช็อกโกแลต และลูกกวาด ตามลำดับ

     สำหรับประเทศไทยหลังการปลดล็อกกัญชาเสรี หลายฝ่ายมีหวังให้กัญชาเติบโตเป็น ‘พืชเศรษฐกิจ’ ที่สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ โดยทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยระบุว่า กัญชาเสรีจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไทย คาดว่าตลาดกัญชาเพื่อความเพลิดเพลินจะมีมูลค่าสูง 14,000 ล้านบาท ภายในปี 2568

แน่นอนว่าหลังประกาศให้กัญชาถูกกฎหมาย ผู้ประกอบการหลายรายหันมาทำเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม โดยห้ามใช้ช่อดอกประกอบอาหาร เนื่องจากมีปริมาณสาร THC ในปริมาณสูง แต่สามารถใช้ทุกส่วนของต้น วัดตั้งแต่ช่อดอกลงมา 1 คืบ ผู้ประกอบการจะต้องติดฉลากบนหรือผลิตภัณฑ์ หรือทำป้ายระบุให้ชัดเจนว่า เป็นอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา

     ส่วนใครที่ทำผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม จะต้องขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร หรือขออนุญาตใช้ฉลากอาหารกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมีขั้นตอนการยื่นข้อมูลลักษณะอาหาร, วัตถุดิบ, กรรมวิธีการผลิต, ภาชนะบรรจุ, มาตรฐานของผลิตภัณฑ์ รวมถึงฉลากอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งจะต้องระบุคำเตือนและข้อแนะนำการบริโภคให้ชัดเจน

‘ความรู้เรื่องกัญชา’ รอยต่อสำคัญหลังการปลดล็อกเสรี

     อย่างที่ทราบกันดีว่าหลังการปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมาย หลายคนเริ่มตื่นตัวกับปรากฏการณ์กัญชาเสรีในแง่มุมต่างๆ แม้ว่าการปลดล็อกในครั้งนี้มาพร้อมความหวังที่จะพาประเทศไทยต่อยอดไปสู่ความรู้ใหม่ๆ ทางการแพทย์ รวมถึงขยายอุตสาหกรรมผลิตยา เครื่องสำอาง อาหาร และเครื่องดื่มให้เติบโต พร้อมทั้งปูทางไปสู่การเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจให้เกษตรกรในอนาคต

     แต่สิ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ รอยต่อสำคัญที่เรียกว่า ‘ความรู้’ ก่อนที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายพืชเศรษฐกิจที่วาดฝันไว้ รัฐได้มอบชุดความรู้ที่เพียงพอและเข้าถึงได้ต่อประชาชนอย่างเหมาะสมแล้วหรือยัง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความรู้ หรือมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการใช้กัญชาในด้านต่างๆ อย่างถูกต้อง

นอกจากนี้ ก็ยังไม่มีมาตรการรองรับและการควบคุมที่ชัดเจนเกี่ยวกับขอบเขตอาหารและเครื่องดื่มที่เกี่ยวข้อง ว่าควรจำกัดการใส่กัญชาในปริมาณเท่าไหร่ต่อแต่ละเมนู ทำให้เราเห็นข่าวคนเจ็บป่วย หรือได้รับผลกระทบจากการบริโภคกัญชามากมาย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่น

     ‘รอยต่อ’ หลังการปลดล็อกกัญชาเสรีในครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะมองข้ามได้อีกต่อไป แต่ถือเป็น ‘โจทย์ใหญ่’ ที่สังคมกำลังจับตามอง…

Credit : gqthailand

ร้านกัญชาคุณภาพและอุปกรณ์มากมาย https://www.siamweeds.com/

0

Search for products

Back to Top
Product has been added to your cart